
"มะเร็งปากมดลูก" ภัยเงียบของผู้หญิง มีอาการแบบไหนบ้าง?
มะเร็งปากมดลูกเป็นหนึ่งในโรคมะเร็งที่พบได้บ่อยในผู้หญิงไทย โดยเฉพาะในผู้ที่อยู่ในช่วงวัยเจริญพันธุ์ การเช็กความเสี่ยงของตนเองจะช่วยให้สามารถป้องกันและลดโอกาสในการเกิดโรคได้มากขึ้น
มะเร็งปากมดลูกคืออะไร?
มะเร็งปากมดลูกเป็นโรคมะเร็งที่เกิดขึ้นบริเวณปากมดลูก ซึ่งเป็นส่วนล่างของมดลูกที่เชื่อมต่อกับช่องคลอด โดยเกิดจากการเจริญเติบโตผิดปกติของเซลล์ปากมดลูก หากไม่ได้รับการตรวจพบและรักษาแต่เนิ่น ๆ อาจแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ และเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
กลุ่มเสี่ยงต่อมะเร็งปากมดลูก
มะเร็งปากมดลูกมีสาเหตุหลักมาจากการติดเชื้อไวรัส Human Papillomavirus (HPV) สายพันธุ์หลัก เป็นชนิดสายพันธุ์ 16 และ 18 ซึ่งเป็นไวรัสที่แพร่กระจายผ่านการมีเพศสัมพันธ์ หากคุณมีปัจจัยต่อไปนี้ ควรเฝ้าระวังและเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอ
1. เริ่มมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย การมีเพศสัมพันธ์ในช่วงอายุที่ยังน้อยอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HPV
2. มีคู่นอนหลายคน เพิ่มโอกาสในการได้รับเชื้อ HPV ที่เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก
3. ไม่เคยรับการฉีดวัคซีน HPV วัคซีนสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ HPV ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. ไม่เคยตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก การตรวจแปปสเมียร์ (Pap Smear) และ HPV DNA Test เป็นวิธีสำคัญที่ช่วยตรวจพบความผิดปกติก่อนที่มะเร็งจะลุกลาม
5. สูบบุหรี่ สารพิษในบุหรี่ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง ส่งผลให้เซลล์ปากมดลูกเสี่ยงต่อการกลายพันธุ์เป็นเซลล์มะเร็ง
6. ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ที่ติดเชื้อ HIV หรือผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน
7. มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งปากมดลูก หากมีสมาชิกในครอบครัวเป็นมะเร็งปากมดลูก ความเสี่ยงของคุณอาจสูงกว่าปกติ
อาการของมะเร็งปากมดลูก
ในระยะเริ่มต้น มะเร็งปากมดลูกมักไม่มีอาการชัดเจน แต่เราสามารถสังเกตความผิดปกติของร่างกายตัวเองได้ แต่เมื่อเข้าสู่ระยะลุกลาม อาจพบอาการดังต่อไปนี้
- เลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด เช่น มีเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ หรือเลือดออกระหว่างรอบเดือน
- เลือดออกหลังจากหมดประจำเดือน หรือประจำเดือนมาไม่ปกติ
- ตกขาวมีกลิ่นเหม็นและมีสีผิดปกติ
- ปวดท้องน้อย โดยเฉพาะปวดบริเวณหัวหน่าว หรือปวดเวลามีเพศสัมพันธ์
- น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
- ปวดหลัง ขาบวม ไตวาย (กรณีที่มะเร็งมีระยะลุกลามรุนแรง)
- ปัสสาวะลำบาก หรือมีเลือดปนในปัสสาวะในระยะลุกลาม
ข้อมูลจากรายงาน Cancer in Thailand Vol.X 2016-2020 โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า มะเร็งปากมดลูกยังคงเป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยในหญิงไทย โดยมีอัตราการเกิดโรคลดลงอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากการรณรงค์ให้มีการตรวจคัดกรองและการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อ HPV อย่างแพร่หลาย อย่างไรก็ตาม มะเร็งปากมดลูกยังคงเป็นมะเร็งที่พบบ่อยเป็นอันดับที่ 5 ในผู้หญิงไทย
จากสถิติพบว่า
- มีผู้หญิงไทยเสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูกเฉลี่ยวันละ 6 คน หรือประมาณ 2,238 คนต่อปี
- มีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยวันละ 15 คน หรือประมาณ 5,422 คนต่อปี
ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการตรวจคัดกรองและการป้องกันตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตและการเกิดโรคในอนาคต
การคัดกรองมะเร็งปากมดลูก
การตรวจคัดกรองช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการรักษา โดยวิธีการคัดกรองที่แนะนำ ได้แก่
- การตรวจแปปสเมียร์ (Pap Smear) ตรวจหาความผิดปกติของเซลล์ปากมดลูก ควรตรวจครั้งแรกเมื่ออายุ 21 ปี และตรวจซ้ำทุก 3 ปี
- การตรวจหาเชื้อ HPV (HPV DNA Test) ค้นหาเชื้อไวรัส HPV ที่เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก แนะนำให้ตรวจร่วมกับ Pap Smear ในสตรีอายุ 30 ปีขึ้นไป
วิธีป้องกันมะเร็งปากมดลูก
- ฉีดวัคซีน HPV การฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อเอชพีวี (HPV) เป็นหนึ่งในวิธีการป้องกันที่มีประสิทธิภาพที่สุด เนื่องจากเชื้อเอชพีวีเป็นสาเหตุสำคัญของโรคมะเร็งปากมดลูก การฉีดวัคซีนเอชพีวี จะต้องฉีดทั้งหมด 3 เข็ม เข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรก 1 - 2 เดือน และเข็มที่ 3 ห่างจากเข็มแรก 6 เดือน นอกเหนือจากการรับวัคซีน การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางการป้องกัน และรักษาที่สำคัญ
- ใช้ถุงยางอนามัย เพิ่มโอกาสลดการติดเชื้อ HPV แม้ไม่สามารถป้องกันได้ 100%
- งดสูบบุหรี่ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง
- ตรวจคัดกรองเป็นประจำ เพื่อค้นหาและรักษาความผิดปกติก่อนลุกลาม
มะเร็งปากมดลูกเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ หากมีการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสมและตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ การรู้จักปัจจัยเสี่ยงและวิธีป้องกันจะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น อย่าลืมเช็กความเสี่ยงของตนเอง และให้ความสำคัญกับการป้องกันตั้งแต่วันนี้เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว
คุณกำลังสงสัยอยู่หรือไม่!!.... ว่าคุณเองกำลังเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปากมดลูกอยู่ ลองหาคำตอบของคุณในแบบประเมินความเสี่ยงโรคมะเร็งนี้ได้เลย…